ตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกลืม #ขี่มอเตอร์ไซค์

สวัสดีครับ, นี้เป็นกระทู้เล่าเรื่องครั้งแรกเลยน่ะเนีย
ผมขอมาเล่าประสบการณ์เล็กๆ ของการท่องเที่ยว By มอเตอร์ไซค์กันหน่อย
ก่อนอื่นเลยต้องขอออกตัวว่าไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่แค่อยากลองเล่าดู เพื่อจะเป็นข้อมูลให้ใครได้ออกไปเที่ยวบาง
ภาพทั้งหมดในกระทู้นี้ผมใช้กล้องโทรศัพท์มือถือ Huawei P9 ถ่ายทั้งหมด

งั้งขออนุญาติเล่าล่ะน่ะครับ (ขอบคุณ pantip สำหรับพื้นที่เล็กๆ ในการเขียนเรื่องของตัวเอง)

เช้าวันใหม่ของปี 2017 วันที่ทุกๆ คนล้วนแต่เพลิดเพลินกับการฉลองและมีความสุข แต่ในมุมเล็กๆ ของห้องนอนผม ที่ประดับกำแพงด้วยแผนที่ประเทศไทย ผมก็ได้เกิดคำถามและความสงสัยในมุมเล็กๆ ของแผนที่ มุมที่อยู่ขวาด้านล่าง(หันหน้าเข้า)มุมเล็กๆ ติดทะเลที่เขียนว่าจังหวัดตราด ซึ่งพอมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นเส้นทางที่ไม่น่าจะมีใครสนใจมาก เส้นทางที่มีพื้นที่แคบมากตรงไปยังประเทศกัมพูชา ผมมองไปด้วยความสงสัยว่าทำไมพื้นที่นี้ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเลย และพื้นที่เล็กขนาดนั้นจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน ผมหยิบจับคำถามนี้เอาไว้แล้วเข้าอินเตอร์เนตทันที ที่นั้นเรียกว่า บ้านหาดเล็ก ตั้งอยู่ในอำเภอคลองใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ แคบที่สุดในประเทศไทยที่มีความกว้างจากน้ำทะเลจนสุดพื้นที่แค่ 450 เมตร ซึ่งมันทำให้ผมยิ่งตื่นเต้นมากในการที่อยากไปเห็นพื้นที่นั้นกับตาตัวเอง


จากวันนั้นผมนั่งคิดและหาข้อมูลการเดินทางไปยังสถานที่นั้นมาตลอด หาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรสชาติในการเดินทาง พอหาๆ ไปก็ไม่มีสถานที่ๆ น่าดึงดูดใจผมสักเท่าไร จึงต้องหาตัวช่วยอย่างอื่นมาแทน ผมนั่งหาอยู่นานจนแล้วจนรอดก็พบกิจกรรมที่ผมสนใจและนำมาไว้ในทริปด้วยนั้นก็คือการวิ่งเทรลบนเกาะช้าง พอผมได้กิจกรรมเข้ามาช่วยเสริมเติมเต็ม ผมจึงเริ่มต้นแผนการดินทางในเช้าวันที่ 17 กพ 2017 ทันที


เช้าวันที่ 17 เป็นวันศุกร์การเดินทางจึงต้องเริ่มแต่เช้ามืดเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดในเมือง แต่เหมือนดังโชคดี พอผมเดินทางแต่เช้ามืดอากาศก็เป็นใจความหนาวเย็นในวันนั้นอยู่ราวๆ 20 องศาในกรุงเทพและขณะเดินทางอุณหภูมิต่ำสุดที่ผมสัมผัสคือ 18 องศาจนถึงเวลา 8 โมงเช้าจึงเริ่มดีดตัวร้อนขึ้น ผมเดินทางโดยใช้ถนนเส้นตัดเข้าเมืองทะลุบางนาตราด แล้วตัดซ้ายเข้าถนน 344 ยิงตรงยาวสู่เมืองจันทบุรี ซึ่งเป็นถนนที่เงียบสงบในยามเช้า รถไม่มากใช้ความเร็วได้ตามที่ใจต้องการเลยที่เดียว และจากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผมมาถึงเมืองจันทบุรีก่อนเวลาที่ตั้งใจไว้ จึงแวะปั้มเติมพลังและหาแหล่งท่องเที่ยวแวะก่อนที่จะตรงไปที่หมายในที่เดียว เป้าหมายผมอยู่ที่บ้านหาดเล็ก และข้ามเรือไปนอนที่เกาะช้าง เพื่อร่วมกิรกรรมวิ่งในวันถัดไป ซึ่งเรือข้ามฝากนั้นจะปิดตอน 5 โมงเย็นผมจึงมีเวลาเหลือมากพอที่จะไปยังสุดชายแดนไทย-กัมพูชาที่ตั้งใจไว้ และแน่นอนเวลาเหลือมากพอที่จะหาที่แวะอีกด้วย

จากจุกที่ผมพักรถ ผมสอบถาม Google Map แล้วก็ไปเห็นเขาคิชฌกูฏ ซึ่งเป็นจุดที่ผมคิดว่าจะไม่แวะไปเพราะทราบมาว่าคนเยอะแถมต้องต่อคิวและใช้เวลานาน แต่พอซูมแผนที่เข้าไปดูกลับเห็นอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏซึ่งไม่น่าจะเป็นสถานที่เดียวกัน ในอุทยานมีน้ำตกกระทิงเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญและผมก็คิดว่าถือโอกาสไปดูด้วยว่าเขาคิชฌกูฏคนเยอะตามที่อินเตอร์เนตว่าจริงมั้ย ผมเดินทางจากจุกพักรถไปอีก 64 กม. ในระหว่างทางก็เจอเพื่อนไบค์เกอร์ 2 ท่านที่ขี่ร่วมทางกันไปโดยที่เราแค่มองหน้ากันผ่านหมวกกันน็อคและขี่ตามๆ กันไป จนมาถึงจุดแยกเข้าเขาคิชฌกูฏผมก็จำใจบีบแตรลาเพื่อนร่วมทางทั้งสองท่าน ที่ผมก็ไม่ทราบได้ว่าจุดหมายของพวกเขาแล้วจริงๆ อยู่ที่ใด แต่มิตรภาพเล็กๆ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้วบนถนน


การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏไม่ได้ซับซ้อนมากนัก คุณแค่วิ่งตามเส้นสุขุมวิทประมาณ 30 กม. คุณจะเจอป้ายบอกทางให้เลี้ยวซ้ายเพื่อมุมเข้าสู่เส้นทางไปยังที่หมาย เส้นทางไปเขาคิชฌกูฏนั้นถนนดี รถวิ่งสวนกัน มีป้ายติดโฆษณาจุดขึ้นเขาคิชฌกูฏอยู่ริมทางมากมาย คุณจะพบวัดและที่ว่าการอำเภอก่อนที่จะพบจุดเข้าเขาคิชฌกูฏ แต่ผมไม่ได้คิดจะไปที่นั้นจึงขี่เลยไปอีกสักพักก็จะเจอป้ายเข้าอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ พอเข้ามาคุณจะประทับใจในการบริการของเจ้าหน้าที่ คำแนะนำทุกอย่างไม่ว่าจุดกางเต็นท์และจุดขึ้นรถเพื่อขึ้นเขา และแนะนำกิจกรรมหลักๆ ของอุทยาน นั้นคือเดินขึ้นน้ำตกกระทิง เมื่อมาถึงที่นี้ผมก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปสัมผัสบรรยากาศในอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย พื้นที่ร่มเย็นสะอาดสะอ้าน น้ำตกสวย ทางเดินขึ้นน้ำตกชันเอาเรื่อง ทำให้เราใช้เวลาอยู่ที่นี้จนเพลินเลยทีเดียว

ภาพบรรยากาศในอัทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ

หลังจากสนุกสนานกับบรรยากาศของอุทยานผมก็เดินทางต่อเพื่อไปดูพื้นที่ๆ ขึ้นเขาคิชฌกูฏ ด้านในซอยทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยร้านค้า และบริการฝากรถ ผมตรงไปสุดเท่าที่รถส่วนตัวจะเข้าได้ ซึ่งนั้นก็คือจุดเขื่อนพลวง ซึ่งเป็นเขื่อนที่ไม่ได้มีอะไรมากหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นแค่ลานจอดรถเท่านั้น หลังจากผมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเสร็จก็ถึงเวลาลาจากจากจุดนี้เพื่อไปยังเป้าหมายของผม จากเขื่อนพลวง เขาคิชฌกูฏ ผมต้องเดินทางอีก 180 กว่ากิโลเมตร ผมจึงคิดว่าน่าจะทันพอที่จะไปทานข้าวกลางวันที่นั้นล่ะ พอคิดได้เท่านั้นผมก็เดินทางทันที ผมเลือกเส้นทางที่จะย้อมกลับมาเส้นทางเดิมเพื่อเข้าถนนสุขุมวิทให้เร็วที่สุดเพื่อใช้ความเร็วในการเดินทางได้ แต่พอมาถึงถนนเส้นสุขุมวิทและขี่มาเรื่อยๆ ผมกับเจอป้ายอุทยานน้ำตกพลิ้ว ซึ่งก็ไม่รู้อะไรดนใจผมก็แวะเข้าไปซะงั้น ด้วยการที่ไม่ได้หาข้อมูลใดๆ ก่อนพอผมถึงหน้าอุทยานน้ำตกพลิ้วก็เจอกับความลำบากใจเล็กน้อยนั้นคือ อุทยานห้ามไม่ให้รถทุกชนิดเข้าอุทยาน นั้นหมายความว่าผมต้องเสียค่าบริการฝากรถให้กลับร้านค้ารอบๆ นั้น ผมจึงมองว่ามันไม่น่าสนใจล่ะ เพราะผมก็อยากได้ภาพตัวผมและรถเป็นที่ระลึกเสียด้วยจึงตัดสินใจไม่เข้าของแค่ถ่ายรูปหน้าทางเข้าเท่านั้น แล้วออกจากที่นี้ไปยังจุดหมายอย่างเดิม

เขื่อนพลวง

อุทยานน้ำตกพลิ้ว

จากอุทยานน้ำตกพลิ้วผมเดินทางมาเรื่อยๆ เส้นทางตรง ถนน 6 เลนส์ ขี่สบายจนเข้าเมืองตราด จากถนนที่กว้างเริ่มบีบลงเหลือ 2 เลนส์ รอบข้างมีแต่ป่าไม้เขียวๆ รถไม่มีสวนทางมาเลย เรียกได้ว่าเปลียวมาก ผมขี่มาเรื่อยๆ จนคิดว่าตัวเองหลับฝันอยู่หรือเปล่าเนีย ทำไมไม่มีแม้ชาวบ้านหรือรถสวนมาเลยน่ะ แต่ขี่ไปสักพักผมก็เริ่มจะใช้ความเร็วช้าลง เพราะความกังวลบวกกับทางที่ตรงยาวจริงๆ เส้นทาง 100 กว่ากม. ในถนนเส้นนี้เหงากว่าตอนขี่ลงเบตงเสียอีก ด้วยความที่ผมคิดว่าจากเมืองจันทบุรีมานี้แค่ 180 กว่ากม. เอง ผมคิดว่ามาตามทางก็ต้องเจอปั้มน้ำมันบางล่ะ พอมาถึงจุดนี้ผมเริ่มกังวลแล้วล่ะว่ามันจะมีปั้มน้ำมันมั้ย ก็เล่นเงียบแบบนี้ใครไม่กังวลบางล่ะ แล้วผมดันมาคนเดียวด้วยสิ

หลังจากนั้นขี่มาต่ออีกหน่อย(ผมไม่คิดว่าหน่อยน่ะ)ก็เหมือนดังสวรรค์โปรดผมเจอเพื่อนร่วมทางแล้ว นั้นข้างหน้าเป็นด่านตรวจทหาร ป๊าดดด ผมขี่เข้าไปสายตาที่ทหารมองมานั้นทำให้ผมกังวลหนักกว่าเดิมอีก สายตาเหมือนมึนงงว่าไอ้มอเตอร์ไซค์คันนี้มาได้ไง จากด่านนี้ไปผมก็โล่งใจได้มากขึ้น เพราะเริ่มมีรถบรรทุกขับสวนมาบาง(แล้วเมื่อก่อนหน้านี้ทำไมไม่มีเลยล่ะ) แต่ถ้าคุณจะหาไบเกอร์ร่วมทางในเวลานั้นไม่มีเลย ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลผมบอกได้เลยว่ายาก จากด่านตรวจขี่มาสักพักทางด้านซ้ายมือริมถนน ในมุมเล็กๆ ก็จะมีป้ายบอกว่าเรามาถึงจุดแคบสุดในประเทศไทยแล้ว สถานที่เป็นเหมือนจุดพักรถ วิวมองออกไปเจอทะเลสวยงาม แต่เงียบมาก แต่ในใจผมก็คิดมันควรเงียบล่ะ ก็เล่นไม่มีอะไรเลยตลอดทาง แล้วแถมถนนเปลียวได้ใจขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ผิดหวังน่ะครับ การที่มาถึงที่แห่งนี้สำหรับผมมันเหมือนบอกให้ผมรู้ว่าประเทศไทยยังมีสถานที่อีกมากที่พวกเราไม่รู้จัก และยังมีสถานที่อีกมากที่รอการช่วยเหลือและพัฒนาจากทางด้านส่วนท่องเที่ยว




ผมจอดถ่ายรูปและนั่งชมวิวสักพักก็คิดว่าต้องไปต่อจนสุดชายแดนและต้องหาที่เติมน้ำมันกับอาหารลองท้องดีๆ สักหน่อย(หวังถึงอาหารต่างแดนเลยทีเดียว)ขี่มาอีกไม่เกิน 20 กม. เราก็จะเจอจุดข้ามแดนไทย-กัมพูชา เป็นตลาดที่ดูเงียบมาก มีแต่รถบรรทุกที่วิ่ง รวมถึงชาวต่างชาติที่ต่อคิวรอข้ามแดนอยู่และแน่นอนก่อนถึงจุดนี้มีปั้มน้ำมัน PTT อยู่ ผมรีบตรงเข้าร้านค้าเพื่อหวังในร้านอาหารพื้นบ้านบวกของฝากเล็กน้อย แต่ผลที่ได้รับกับเป็นข้าวแกง ส่วนของฝากกลับเป็นขนมฝั่งไทยซะงั้น เศร้า แต่ผมก็หาของฝากมาจนได้ นั้นคือ เบียร์กัมพูชา 8 ยี่ห้อ(คืนนี้มีเมา)


ผมมาถึงจุดนี้ตอนเกือบๆ บ่าย1 โมงนั่งพักได้สักเดียวก็ต้องรีบเดินทางออกเพราะคิดว่าผมใช้เวลาเดินทางมาถึงจุดนี้นานมาก การจะกลับไปคงช้าเหมือนขามาแน่ๆ และกลัวที่ท่าเรือจะปิดก่อน ผมจึงรีบออกเดินทางมาโดยได้แค่แวะทานขนมปังที่ 7-11 เท่านั้น ผมเดินทางมาถึงท่าเรือข้ามเกาะช้างประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง ซึ่งช้ากว่าที่ตั้งเป้าไปเล็กน้อย และกว่าจะทำอะไรเสร็จก็ได้ขึ้นเรือไปถึงเกาะช้างก็เกือบๆ 5 โมงเย็นแล้ว ซึ่งหลังถึงเกาะช้างผมก็เตรียมตัวเข้าที่พัก ไปจุดลงทะเบียนวิ่งและหาข้าวทาน เพื่อเติมพลังงานรอรับการวิ่งขึ้นเขาที่เค้าว่าโหดที่สุดในไทยในเช้าวันต่อมา




>>> หน้า2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่